การประปาส่วนภูมิภาคสาขาชุมพร กิจกรรมน้อมรำลึก ในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวัน คล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

13 ตุลาคม 2564


การประปาส่วนภูมิภาคสาขาชุมพร กิจกรรมน้อมรำลึก ในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวัน คล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

วันนี้ 13 ตุลาคม 2564 การประปาส่วนภูมิภาคสาขาชุมพร กิจกรรมน้อมรำลึก ในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวัน คล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ณ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาชุมพร
นายสุกฤษฏิ์ กลิ่นสนธิ์ ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาคสาขาชุมพร นายอนุเทพ แดงบุญ ผู้ช่วยผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาคสาขาชุมพร นายสาธิต สุหุโล หัวหน้างานผลิต ได้ร่วมกิจกรรมน้อมรำลึก ในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวัน คล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยร่วมจัดพิธีวางพวงมาลา ณ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาชุมพร โดยแต่งเครื่องแบบขาวปกติ ร่วมในพิธี นอกจากนี้ยังจัดตั้งโต๊ะหมู่ประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ พร้อมเครื่องราชสักการะ บริเวณอาคาร
สำหรับวันที่ 13 ตุลาคม ของทุกปีนั้นย้อนไปในช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติได้สิบปี ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้พระองค์ทรงหยุดการเรียนรู้ในศาสตร์และศิลป์เรื่องต่างๆไม่เว้นแม้กระทั่งการปกครองด้วยคุณธรรม เพื่อทำให้ราษฎรสงบสุข ทรงมีพระราชปณิธานที่จะครองแผ่นดินด้วยความเป็นธรรม ทรงพระผนวชเมื่อพระชนมมายุ 29 พรรษา โดยกำหนดวันทรงพระผนวชในวันที่ 22 ตุลาคม-5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 13 ) ทรงเป็นพระอุปัชฌาจารย์ และทรงเลือกสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่19 (เมื่อครั้งยังเป็นพระโสภณคณาภรณ์) ให้เป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ทำหน้าที่เป็นผู้ถวายคำแนะนำต่างๆ เกี่ยวกับการทรงพระผนวชแด่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงตั้งมั่นศึกษาและปฏิบัติธรรม
คราวที่ทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ พระองค์ทรงตั้งมั่นที่จะศึกษาและปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยทุกประการ และในขณะที่ทรงอยู่ในเพศบรรพชิต สาวกแห่งพระพุทธเจ้า ทรงเป็นพระภิกษุซึ่งมีพระฉายาว่า "ภูมิพโล" จึงต้องเป็นเพียงผู้รับบิณฑบาตภิกขาหารจากประชาชน เพื่อยังพระชนม์ชีพและเผื่อแผ่ไปจนถึง บิดา มารดา อาจารย์ ตลอดจนบุตร ภริยา(ถ้ามี) ตามกฎพระวินัยพุทธศาสนา สาเหตุที่พระโสภณคณาภรณ์ในเวลานั้น ทรงได้รับเลือกให้ปฏิบัติหน้าที่พิเศษครั้งนั้น เนื่องจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงไว้วางพระทัยในพระปฏิทาและความสามารถว่าจะทรงปฏิบัติที่สำคัญครั้งนี้ได้เรียบร้อยสมบูรณ์
และก็ปรากฏว่า ได้ทรงปฏิบัติหน้าที่พระอภิบาลสนองพระเดชพระคุณได้เรียบร้อยสมบูรณ์ทุกประการ จากการที่ได้ทรงปฏิบัติหน้าที่พระอภิบาลในการทรงพระผนวชครั้งนี้ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก จึงทรงเป็นที่เคารพนับถือในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร( พระบรมราชอิสริยยศปัจจุบัน)มาแต่บัดนั้น และทรงรับหน้าที่ถวาย พระธรรมเทศนาและถวายธรรมกถา แด่ในหลวง รัชกาลที่9ในโอกาสต่าง ๆ ตลอดมา ทั้งที่เป็นงานพระราชพิธีและเป็นการส่วนพระองค์ เนื่องจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีความถ่อมพระองค์ จึงทรงเป็นพระเถระที่สงบเสงี่ยม สำรวมระวัง ตรัสน้อย และไม่ชอบแสดงตน ดังเช่นในการสอนสมาธิกรรมฐานในหลวง รัชกาลที่ 9 ก็มิได้แสดงพระองค์ว่า เป็นผู้รู้หรือผูู้เชี่ยวชาญกว่าใครๆ แต่มักตรัสว่า "แนะนำในฐานะผู้ร่วมศึกษาปฏิบัติด้วยกัน"ช่วงที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ เสด็จพระราชดำเนินไปตามถนนเยี่ยงพระสงฆ์ด้วยพระอิริยาบถที่สำรวม ทรงหยุดรับบิณฑบาตจากประชาชนด้วยความสงบ โดยไม่มีหมายกำหนดการ ตั้งแต่เวลา 05.50-06.50 น. ตลอดเวลาที่ทรงครองเพศบรรพชิต ทรงปฏิบัติพระองค์เช่นเดียวกับพระภิกษุสงฆ์รูปอื่นๆ ทรงทำวัตรเช้า และทรงทำวัตรเย็น ทรงสดับพระวินัยและพระธรรม ทรงศึกษาธรรมโดยไปเฝ้าฯสมเด็จพระสังฆราชและพระเถระผู้ประดุจพระอาจารย์ ตลอดเวลาที่ทรงผนวช 15 วัน ทรงปฏิบัติพระองค์ให้อยู่ในกิจวัตรที่สงฆ์ทั้งหลายปฏิบัติ จากการที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ตรัสไว้ว่า "พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จะได้ทรงพระผนวชตามราชประเพณีอย่างเดียวเท่านั้นหามิได้ แต่ทรงพระผนวชด้วยพระราชศรัทธาที่ตั้งมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง มิได้ทรงเป็นบุคคลจำพวกที่เรียกว่า หัวใหม่ ไม่เห็นศาสนาเป็นสำคัญ แต่ได้ทรงเห็นคุณค่าของพระศาสนา ฉะนั้นถ้าเป็นบุคคลธรรมดาสามัญก็กล่าวได้ว่า บวชด้วยศรัทธา เพราะทรงผนวชด้วยพระราชศรัทธาประกอบด้วยพระปัญญา และได้ทรงปฏิบัติพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด" เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2559 สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ในฐานะที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) เล่าถึงพระจริยวัตรที่งดงาม ช่วงทรงพระผนวช ว่า "อาตมาเคยอยู่ร่วมวัดเดียวกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตอนพระองค์ทรงพระผนวชปี พ.ศ. 2499 ตอนนั้นอาตมาเป็นพระใหม่ พระองค์ทรงตั้งพระราชหฤทัยปฏิบัติด้วยความศรัทธาทรงเสด็จฯออกบิณฑบาตทั้งในวัง ส่วนราชการ และทั่วไป
ซึ่งประชาชนก็ไม่คิดว่าจะได้ใส่บาตร เพราะไม่รู้ว่าพระภิกษุสงฆ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจะทรงออกบิณฑบาตวันไหน เมื่อไหร่"ส่วนในด้านขนบธรรมเนียมของพระภิกษุสงฆ์ สมเด็จพระวันรัต เล่าว่า พระองค์ทรงมีพระขันติ มีคุณธรรมที่ฝึกมาแล้วจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ตอนที่ทรงทำวัตรสวดมนต์ พระองค์ประทับนั่งพับเพียบอยู่ด้านเดียว ไม่พลิกพระบาทเลย เพราะพระองค์ทรงเคารพนับถือพระผู้ใหญ่ที่บวชก่อนพระองค์ตามธรรมเนียมของพระ ทุกๆ เช้าทรงนั่งพับเพียบโดยไม่ขยับเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงและบ่ายอีกชั่วโมง "ในฐานะที่อาตมาบวชเณรมาก่อน ก็ยังปฏิบัติสู้พระองค์ไม่ได้ แค่นั่งพับเพียบอย่างเดียว ก็สู้พระองค์ไม่ได้"....
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 
เลื่อนขึ้นข้างบน