17 กุมภาพันธ์ 2563

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 ที่บริเวณท่าเทียบเรือองค์การสะพานปลาปากน้ำชุมพร ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร นายสุกฤษฏิ์ กลิ่นสนธิ์ ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาคสาขาชุมพร นายอนุเทพ แดงบุญ ผู้ช่วยผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาคสาขาชุมพร ได้เข้าร่วมกิจกรรมร่วมกับ กรมประมงในพิธีประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อน ทะเลอ่าวไทย ประจำปี 2563 ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 15 ก.พ. – 15 พ.ค. นี้ และกำหนดพื้นที่ควบคุมต่อเนื่องจากมาตรการปิดอ่าว บริเวณพื้นที่อ่าวประจวบฯ พร้อมปล่อยลูกพันธุ์สัตว์น้ำกว่า 11 ล้านตัว ทั้ง 3 จังหวัด ซึ่งได้รับเกียรติจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินทางมาเป็นประธานในพิธี โดยมี นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง พร้อมด้วย นายสนิท ศรีวิหค รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร และหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ นักเรียน นักศึกษา ประชาชนและชาวประมงในพื้นที่ ให้การต้อนรับเป็นจำนวนมาก
นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อน ทะเลอ่าวไทย หรือ "ปิดอ่าวไทย" ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ - 15 พฤษภาคม ของทุกปี ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี รวมอาณาเขตประมาณ 27,000 ตารางกิโลเมตร เป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำให้มีความยั่งยืน ซึ่งกรมประมงได้ประกาศใช้มาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 67 ปี โดยได้มีการปรับปรุงมาตรการเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะของทรัพยากรสัตว์น้ำ สิ่งแวดล้อม และสังคม ซึ่งจากสถิติการเก็บข้อมูลทางวิชาการ จำนวนและความหลากหลายของชนิดพันธุ์ของสัตว์น้ำที่นำขึ้นท่า ปรากฏว่ามีสัตว์น้ำในกลุ่มปลาทูลดจำนวนลงอย่างมากเมื่อเทียบจากในอดีต ซึ่งมาจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งความเสื่อมโทรมของแหล่งทรัพยากรสัตว์น้ำ สภาพแวดล้อม ความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้งเรือประมงที่ใช้เครื่องมือทำการประมงบางชนิดที่มีประสิทธิภาพสูงเข้ามาทำการประมงในพื้นที่ ประกอบกับสภาวะทรัพยากรสัตว์น้ำในแต่ละปีหลังจากมาตรการปิดอ่าว พบว่าลูกพันธุ์สัตว์น้ำที่เกิดขึ้นในช่วงมาตรการและอาศัยอยู่ในแนวชายฝั่งถูกจับขึ้นมาจำนวนมาก ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นต้นเหตุของปริมาณสัตว์น้ำที่ลดจำนวนลงทั้งสิ้น
ดังนั้น เมื่อปี 2561 กรมประมง จึงได้มีการออกประกาศ ลงวันที่ 31 มกราคม 2561 เพื่อกำหนดพื้นที่และระยะเวลาฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อน ในการปิดอ่าวไทยให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยพื้นที่ปิดอ่าวไทยตอนกลาง ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 27,000 ตารางกิโลเมตร ในพื้นที่บางส่วนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี (เขต 1) ระยะเวลา 3 เดือน ระหว่างวันที่ 15 ก.พ. – 15 พ.ค. ของทุกปี และได้กำหนดให้เครื่องมือประมงบางชนิดของกลุ่มประมงขนาดเล็กซึ่งไม่กระทบกับพันธุ์สัตว์น้ำในช่วงปิดอ่าว ให้สามารถใช้ทำการประมงได้ ดังนี้
(1) เครื่องมืออวนลากแผ่นตะเฆ่ อวนลากคานถ่างที่ใช้ประกอบเรือกลที่มีขนาดความยาวไม่เกิน 16 เมตร ต้องทำการประมงในเวลากลางคืน และต้องทำการประมงนอกเขตทะเลชายฝั่งด้วย
(2) เครื่องมืออวนติดตาปลาที่ใช้ประกอบเรือกลที่มีขนาดต่ำกว่า 10 ตันกรอส และต้องใช้ช่องตาอวนตั้งแต่สองนิ้วขึ้นไป กรณีที่ชาวประมงต้องการใช้เครื่องมืออวนติดตาปลาที่มีความยาวอวนเกิน 2,500 เมตร ต่อเรือประมง 1 ลำ จะต้องใช้นอกเขตทะเลชายฝั่ง เท่านั้น
(3) เครื่องมืออวนปู อวนลอยกุ้ง
(4) เครื่องมืออวนครอบ อวนช้อน หรืออวนยกหมึก ที่ใช้ประกอบกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (เครื่องปั่นไฟ) ต้องทำการประมงนอกเขตทะเลชายฝั่ง
(5) ลอบปู ต้องทำการประมงตามเงื่อนไขที่กำหนด
(6) ลอบหมึกทุกชนิด
(7) ซั้งทุกชนิดที่ใช้ประกอบทำการประมงพื้นบ้าน. สามารถทำการประมงได้ในเขตทะเลชายฝั่ง
(8) คราดหอย ต้องทำการประมงตามเงื่อนไขที่กำหนด
(9) อวนรุนเคย ต้องทำการประมงตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยประกาศกระทรวงฯ
(10) จั่น ยอ แร้ว สวิง แห เบ็ด สับปะนก ขอ ลอบ ฉมวก และเครื่องมืออื่นใดที่ไม่ใช้ประกอบเรือกลขณะทำการประมง และ
(11) เรือประมงที่มีขนาดต่ำกว่า 10 ตันกรอส ที่ใช้เครื่องยนต์มีกำลังแรงม้าไม่ถึง 280 แรงม้า ประกอบเครื่องมือทำการประมงที่มิใช่เครื่องมือตามประเภท วิธีการทำการประมงที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศกำหนดให้เป็นประมงพาณิชย์ทำการประมง ยกเว้นอวนครอบ อวนช้อน หรืออวนยกปลากะตัก ที่ใช้ประกอบเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (เครื่องปั่นไฟ) และที่ห้ามตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดเครื่องมือทำการประมง วิธีการทำการประมง และพื้นที่ทำการประมงที่ห้ามใช้ทำการประมงในที่จับสัตว์น้ำเขตทะเลชายฝั่ง พ.ศ. 2561 ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2560
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการคุ้มครองสัตว์น้ำวัยอ่อนให้เกิดความต่อเนื่องได้มีมาตรการทำการประมง โดยใช้เครื่องมือทำการประมงบางชนิดบริเวณชายฝั่งออกไป 7 ไมล์ทะเล และพื้นที่อ่าวประจวบฯ รวมพื้นที่ 8,200 ตารางกิโลเมตรออกไปอีก 30 วัน ระหว่างวันที่ 16 พ.ค. - 14 มิ.ย. ของทุกปี หากผู้ใดฝ่าฝืนจะมีความผิดตามมาตรา 70 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ต้องระวางโทษ ปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงสามสิบล้านบาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของเรือประมง หรือปรับจำนวนห้าเท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จากการทำการประมง แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า และต้องได้รับโทษทางปกครองอีกด้วย